Robert Burns กวีชาวสก๊อตเเลนด์ ได้รับความยอมรับเเละเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในสก๊อตเเลนด์ เขาเกิดในวันที่ 25 มกราคม ปี ค.ศ. 1759 ห่างจาก Ayr ประมาณ 2 กิโลเมตร ใน Alloway , ทางตอนใต้ของ Ayrshire สก๊อตเเลนด์ เป็นลูกชายคนโตในพี่น้องทั้งหมด 7 คนของครอบครัว โดยที่ทางบ้านของเขามีอาชีพปศุสัตว์ เเต่พ่อของเขาก็สอนความรู้ทางด้านต่าง ๆ ให้กับลูก ๆ ทุกคน


 Robert Burns  เริ่มสร้างสรรค์ผลงานบทกวีมากมายทั้งในภาษาอังกฤษเเละภาษาท้องถิ่นอย่างภาษาสก๊อต นอกจากนี้เขายังเเสดงความคิดเห็นทางการเมืองอย่างเปิดเผย จึงเป็นที่รู้จักของชาวสก๊อตเเลนด์โดยทั่วไป นอกจากนี้เข่ยังเป็นผู้บุกเบิกเเนวทาง การเคลื่อนไหวโรแมนติก ( Romantic movement )   ซึ่งต่อมาเป็นเเรงบันดาลใจให้กับผู้ก่อตั้งเเนวคิดทางการเมืองทั้งเสรีนิยม และ สังคมนิยม รวมทั้งกลายเป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมในเวลาต่อมาของชาวสก๊อตเเลนด์
     ผลงานของเขามีทั้งบทกวี บทเพลง ทั้งเพลงพื้นเมืองของสก๊อตเเลนด์ ทั้งเพลงที่เมืองชื่อเสียงโด่งดังอย่าง Auld Lang Syne เเละเพลงชาติสก๊อตเเลนด์อย่างไม่เป็นทางการ สำหรับผลงานทางด้านกวีที่โงดังก็อย่างเช่น  A Red, Red Rose; A Man’s A Man for A’ That; To a Louse; To a Mouse; The Battle of Sherramuir; Tam o’ Shanter, and Ae Fond Kiss. เขาเป็นที่นิยมในหมู่ชาวสก๊อตจนจัดให้มี  Burns Night เป็นประจำทุกปีในวันคล้ายวันเกิดของเขา
   auld lang syne

"ออลด์แลงไซน์" (Auld Lang Syne) เป็นบทกวี ที่เขียนขึ้นโดยโรเบิร์ต เบิร์นส ในปี ค.ศ. 1788 เป็นที่รู้จักในประเทศที่พูดภาษาอังกฤษ (รวมถึงไม่ได้พูดภาษาอังกฤษ) และมักจะร้องเพื่อเฉลิมฉลองในการเริ่มต้นปีใหม่ในช่วงเสียงตีของนาฬิกาเที่ยงคืนนอกจากนั้นยังใช้ร้องในงานศพ พิธีสำเร็จการศึกษา และการร่ำลา เป็นต้น ชื่อของเพลง "Auld Lang Syne" นั้น เมื่อแปลแล้ว หมายถึง "เมื่อเนิ่นนานมา" ส่วนเนื้อเพลงนี้มีเนื้อส่วนใหญ่ว่าด้วยเรื่องของการให้อภัยและการลืมเรื่องบาดหมางที่ผ่านมา


Elle est un bâtiment de type dôme géodésique, proche d'une sphère, situé dans le parc de la villette. La Géode constitue un bâtiment séparé derrière la Cité des sciences et de l'industrie.





ถนนสยาม ณ กรุงปารีส (Rue de Siam à Paris)
เป็นถนนสายหนึ่งซึ่งอยู่ในเขตที่ 16 ของนครหลวงปารีส ถนนเส้นนี้เปิดใช้เมื่อปีคศ.1884 ซึ่งเป็นปีเดียวกันที่สถานเอกอัครราชทูตแห่งราชอาณาจักรสยามได้มาตั้งอยู่บนถนนสายนี้ แต่ถนนสายดังกล่าวได้ใช้ชื่อว่าสยามจริงในปีคศ.1886 เป็นต้นมา


 “เสรีภาพนำประชาชน” (Liberty Leading the Peopleของ แฟร์ดีนองด์ วิคตอร์ เออแฌน เดอลาครัวซ์ (Ferdinand Victor Eugène Delacroix) หรือ เดอลาครัวซ์ เป็นจิตรกรรมสีน้ำมันมีขนาดความกว้าง 260 เซนติเมตร ขนาดความยาว 325 เซนติเมตร ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ใน พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ (Musée du Louvre) ณ กรุงปารีส (Paris) ประเทศฝรั่งเศส (Franceสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1830 ถือว่าเป็นผลงานที่มีลักษณะการแสดงออกและวิธีคิดแบบลัทธิโรแมนติก (Romanticism)หรือเรียกว่าเป็นพวกขบวนการจินตนิยม
                 เรื่องราวของภาพ “เสรีภาพนำประชาชน” เป็นการบอกเล่าเกี่ยวกับเหตุการณ์การปฏิวัติในยุคสมัยการปกครองของพระเจ้าชาร์ลส์ที่10 แห่งฝรั่งเศส (Charles Philippe of France) ซึ่งเป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์บูร์บง (Maison de Bourbon) ครองราชย์ระหว่างค.ศ. 1824 - ค.ศ. 1830 อันเนื่องมาจากการละเมิดอำนาจของสภาของพระองค์ ทำให้มีการปกครองที่ล้มเหลวไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชน ประชาชนเกิดความเสื่อมศรัทธาในตัวของพระองค์ เป็นผลทำให้ประชาชนชนชั้นกลางเข้าร่วมมือกับพวกฝ่ายสาธารณรัฐ นิสิตนักศึกษาตามมหาวิทยาลัยและกลุ่มผู้ใช้แรงงานกรรมกร ก็ร่วมกันตกลงที่จะใช้กำลังอาวุธในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง จนนำไปสู่จลาจลสงครามกลางกรุงปารีส ในช่วงวันที่ 27 – 29 กรกฎาคม ค.ศ. 1830 เป็นผลให้พระองค์ทรงลี้ภัยไปประทับอยู่ที่สกอตแลนด์ เหตุการณ์ดังกล่าวรู้จักกันในนามการปฏิวัติเดือนกรกฎาคม 
ปี ค.ศ. 1830 (July Revolution)
    เดอลาครัวซ์ได้รับผลกระทบทางความรู้สึกจากเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างรุนแรง ทั้งนี้อาจจะเป็นอุปนิสัยที่สนใจเกี่ยวกับความเป็นไปทางสังคมและการเมืองทำให้เขาสร้างผลงานชิ้นนี้ด้วยความตั้งใจที่จะระลึกถึงการต่อสู้และการอุทิศชีวิตของประเพื่อนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอันสำคัญ ดังจดหมายที่เขาเขียนถึงพี่ชายลงวันที่ 12 เดือนตุลาคม ปี ค.ศ. 1830 ว่า อารมณ์อันขุ่นมัวเป็นเสมือนยากระตุ้นให้ข้าพเจ้าทำงานอย่างหนักข้าพเจ้านำเรื่องสมัยใหม่ และถ้าข้าพเจ้ามิอาจลุกขึ้นสู้เพื่อประเทศชาติ แต่อย่างน้อยข้าพเจ้าจะวาดภาพนี้สำหรับเธอ...
                 เดอลาครัวซ์มีแนวทางการแสดงออกทางศิลปะตามลัทธิโรแมนติกนิยม (Romanticism) ซึ่งมักจะมีการแสดงออกถึงเรื่องราวอันเป็นการยกย่องลัทธิปัจเจกนิยม การรับรู้ทางจิตวิสัย ความไม่คำนึงถึงเหตุผล จินตนาการ อารมณ์ความรู้สึก ธรรมชาติ อารมณ์อยู่เหนือหลักเหตุผล และความรู้สึกอยู่เหนือสติปัญญา  แนวทางดังกล่าวกระตุ้นความรู้สึกและจินตนาการ ศิลปินกลุ่มนี้มักมีการแสดงออกในทางศิลปะอย่างอิสรเสรีกว่าศิลปินยุคก่อนหน้า มีความกล้าหาญในการใช้สีอย่างรุนแรงประกอบกับการทิ้งรอยฝีแปรงทำให้ภาพเกิดความเคลื่อนไหวและมีผลให้เกิดความสั่นสะเทือนในการมอง มักแสดงออกถึงเรื่องราวอันเป็นสิ่งที่อลังการ เหตุการณ์ที่สำคัญในสังคม และมุ่งเน้นให้เกิดการสะเทือนอารมณ์อย่างรุนแรง ดังที่ชาร์ลส โบดแลร์ (Charles Baudelaire: 1821-1867) กวีและนักวิจารณ์ศิลปะชาวฝรั่งเศส ได้เขียนไว้ในปี ค.ศ.1846 ว่า “ลัทธิโรแมนติกมิได้ตั้งอยู่บนหนทางของความจริงที่เป็นเหตุผล แต่เป็นวิถีแห่งความรู้สึก”
                 ในผลงานจิตรกรรมชื่อ “เสรีภาพนำประชาชน” เดอลาครัวซ์ได้นำเรื่องราวการปฏิวัติเดือนกรกฎาคม ปี ค.ศ. 1830 มาสร้างเรื่องราวให้เกิดความสะเทือนใจตามแนวคิดลัทธิโรแมนติก เขาจัดการกับองค์ประกอบให้ดูราวกับการแสดงละครเวที ท่าทางของตัวละครในภาพถูกจัดวางไว้อย่างมีระบบและเต็มไปด้วยนัยยะที่สำคัญ
                  ภาพหญิงสาวที่กำลังย่างก้าวไปข้างหน้าได้ก้าวข้ามตรงมาสู่ผู้ดูโดยตรง เรือนร่างของหญิงสาวมิได้มีกิริยาเยี่ยงสตรีที่มีร่างบอบบาง แต่เป็นร่างกายที่ดูสูงใหญ่ หนาหนัก อุดมสมบูรณ์ไปด้วยกล้ามเนื้อ เต็มไปด้วยพลังความเคลื่อนไหวที่หนักแน่น และมีท่วงทีราวกับมหาบุรุษแห่งสมรภูมิ มือข้างขาวของเธอชูธงสามสีของสาธารณรัฐฝรั่งเศสอย่างมั่นคง แม้ว่าทรวงเปลือยเปล่า แต่ก็มิได้มีสัญลักษณ์ของความอ่อนนุ่มหรือทางกามารมณ์แต่อย่างใด แม้ลักษณะภายนอกจะดูราวกับเทพีผู้สูงศักดิ์ในเทพนิยาย แต่เดอลาครัวซ์วาดให้เธอดูราวกับคนธรรมดาสามัญ เสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวมใส่ละม้ายคล้ายคลึงกับชุดของหญิงสาวฝรั่งเศสสมัยนั้นนิยมกันทั่ว อีกทั้งสวมใส่หมวกไฟรเจียนบนศีรษะมีนัยยะถึงการเป็นนักปฏิวัติ เท้าที่เหยียบย่างบนพื้นอย่างมั่นคงช่วยส่งเสริมให้อิริยาบถของเธอดูสง่างาม ด้ายซ้ายมือของเธอเป็นเด็กจรจัดที่ดูไม่เหมาะสมนักกับการถือปืนทั้งสองมือเพื่อลุกขึ้นสู้ในการปฏิวัติ ทางด้านขวาเป็นชายหนุ่มสองคน ซึ่งเป็นตัวแทนของสัญลักษณ์ที่ต่างกันทางชนชั้น ชายผู้กำดาบในมือหมายถึงบุคคลผู้ใช้แรงงาน ในขณะที่ชายที่อยู่ในชุดเสื้อนอกสวมหมวกทรงสูงและมีลักษณะตามแบบฉบับสุภาพบุรุษเป็นสัญลักษณ์ตัวแทนของชนชั้นปัญญาชน
                 ลักษณะการจัดภาพของเดอลาครัวซ์เป็นรูปแบบที่นิยมนั้น คือการที่วางตำแหน่งศพในภาพกองบิดเบี้ยวอยู่เบื้องหน้า เด็กที่พับเข่าทแยงวิ่งนำหน้ากำลังยกมือเพื่อชูธงขึ้นสูง ทำให้เกิดเป็นรูปทรงพีระมิด
                 การระบายสีในภาพมีลักษณะทิ้งรอยของฝีแปรง (Painterly Style) ลักษณะโทนสีจะมีลักษณะเข้มขรึมด้วยสีน้ำตาลกับสีดำ สีที่ปรากฏเด่นชัดบนผืนธงเองก็ถูกนำมาใช้ซ้ำ ๆ หนักบ้างเบาบ้างตลอดทั้งภาพ เดอลาครัวซ์จะใช้สีขาวกระจัดกระจายอย่างอิสระที่สุด ส่วนท้องฟ้าใช้สีแดงสลับกับสีน้ำเงินดุคล้ำ สีน้ำเงินเข้มถูกนำมาใช้อย่างซ้ำ ๆ เป็นสีของถุงเท้าของคนตายทางด้านซ้ายมือ เป็นสีเสื้อของเด็กชายที่พับเข่าและเป็นสีผ้าผูกคอและเข้มขัด เช่นเดียวกับศพทางด้านขวามือมีสีแดงที่สะท้อนสีของธง ซึ่งครั้งหนึ่งเป็นสัญลักษณ์ของสันติภาพและระบบสาธารณรัฐฝรั่งเศส เดอลาครัวซ์นำมาใช้ระบายเป็นสัตยาบันทางการเมือง
                 สัญลักษณ์ธงชาติฝรั่งเศสในภาพถูกนำมาใช้คู่กับหญิงสาวผู้เป็นจุดสนใจในภาพและถือเป็นตัวละครหลักนำเสนอเรื่องราวที่จำลองเหตุการณ์ที่สำคัญทางการเมือง ตำแหน่งของธงชาติถูชูขึ้นเหนือตัวละครทั้งหมด ไม่เว้นกระทั่งมหาวิหารนอเทรอดาม (Cathédrale Notre Dame de Paris) ก็ยังถูกวางในตำแหน่งพื้นหลังด้านขวาของภาพ อีกทั้งยั้งมีขนาดสัดส่วนที่เล็กกว่าตัวละครหลักของภาพ ซึ่งทำหน้าที่เป็นสัญลักษณ์ของเหตุการณ์ที่อยู่ในกรุงปารีส
                 ในหนังสือ “What great paintings say” ซึ่งเป็นหนังสือที่วิเคราะห์และวิจารณ์ผลงานศิลปะตะวันตกชิ้นสำคัญ ๆ ได้อย่างละเอียด ได้เขียนถึงธงชาติฝรั่งเศสในผลงานชิ้นนี้อย่างน่าสนใจว่า

        ...ธงสามสีปรากฏเคียงคู่ไปกับอารมณ์ความขัดแย้งของเหล่าปัญญาชนและผู้นิยมระบอบสาธารณรัฐ ธงผืนนี้แสดงออกถึงอำนาจอันสูงสุดของประชาชนและชัยชนะแห่งเสรีภาพที่เหนือการกดขี่แบบเผด็จการ สำหรับประชาชนโดยทั่วไป แล้วถือว่าเป็นการปลุกเร้าความรักชาติอย่างตรงไปตรงมา ทำให้นึกถึงยุคแห่งความรุ่งโรจน์ที่สุดในประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส...

                 หญิงสาวกลางภาพแท้ที่จริงเป็นสัญลักษณ์ของ มารีอาน (Marianne) ซึ่งเป็นรูปลักษณ์สตรีอันเป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะของสาธารณรัฐฝรั่งเศส ซึ่งเมื่อนำสัญลักษณ์ดังกล่าวเข้ามาประกอบกับธงชาติสามสีของฝรั่งเศสก็เป็นการสร้างสัญลักษณ์อันเกี่ยวโยงกับชัยชนะที่มีเรื่องของชาติฝรั่งเศสเป็นบริบทหลักอยู่เป็นสำคัญ การก้าวเดินของเทพีแห่งชัยชนะจึงมิเพียงการย่างก้าวของร่างสตรีธรรมดาที่ถือธงชาติ แต่เป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงการก้าวไปสู่วันแห่งชัยชนะของชาติ
                 สรุปแล้วความหมายโดยพื้นฐานของธงชาติในผลงานชิ้นนี้เป็นเรื่องของการแสดงความเป็นชาติ(Nationhood) ลัทธิชาตินิยม (Nationalism) และความรักชาติ (Patriotism) ดังนั้นธงชาติที่ปรากฏในภาพนี้จึงเป็นสัญลักณ์ของความเป็นชาติสาธารณรัฐฝรั่งเศส สะท้อนแนวคิดชาตินิยมแนวเสรี (Liberal Nationalism) โดยมีฐานคิดที่ว่า

  ...ชาติจึงเป็นชุมชนที่แท้จริงและเป็นอินทรียภาพ มิใช่เป็นผลงานสร้างของผู้นำทางการเมืองหรือชนชั้นปกครอง ชาตินิยมแนวเสรีถือว่าชาติกับอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนเป็นเรื่องเดียวกัน...

                 โดยสรุปแล้วสัญลักษณ์ของธงชาติในผลงานจิตรกรรม “เสรีภาพนำประชาชน” นอกจากจะมีคุณค่าทางด้านศิลปะแล้ว ยังเป็นสัญลักษณ์อันสะท้อนถึงแนวคิดชาตินิยมที่มีบริบทร่วมกับความเคลื่อนไหวทางการเมืองควบคู่กันไป ซึ่งสิ่งนี้ก็ยิ่งทำให้ความหมายของภาพนำไปสู่เนื้อหาทางด้านวีรกรรม การปฏิวัติ การเมือง และชาตินิยมควบคู่กันไปอย่างทรงประสิทธิภาพ




หากกล่าวถึงการดำเนินชีวิตของคนในสังคม ไม่ว่าจะอยู่ในชนชั้นใดหรือมีฐานะดีหรือไม่ ต่างก็ต้องการความบันเทิงทั้งทางตาและจิตใจ ไม่ว่าจะเป็นการชื่นชมผลงานรูปภาพหรือการฟังเพลงเพื่อให้มีความผ่อนคลายลงจากการทำงานทั้งสิ้น

ในสมัยใหม่นี้วิทยาการต่างๆมีความก้าวหน้าไปมากอันสืบเนื่องมาจากยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการทั้งการพิมพ์และงานศิลปะ และในสมัยนี้ก็มีความขัดแย้งทางการเมืองอีกด้วย ซึ่งส่งผลให้ความเป็นอยู่ของคนในสังคมมีความยากลำบาก ศิลปินได้รับผลกระทบด้านความรู้สึกในการสร้างผลงาน เช่น ความไม่คำนึงถึงเหตุผลใช้ความรู้สึกเหนือสติปัญญาของศิลปะโรแมนติก โดยศิลปินผู้ที่มีชื่อเสียงท่านนั้นก็คือ “เออแฌน เดอลาครัวซ์”

แฟร์ดีนองด์ วิคตอร์ เออแฌน เดอลาครัวซ์ (Ferdinand Victor Eugène Delacroix) หรือ เออแฌน เดอลาครัวซ์ เป็นจิตรกรชาวฝรั่งเศส เกิดเมื่อวันที่ 26 เมษายน ค.ศ 1798  เดอลาครัวซ์เกิดและโตในเมืองที่มีความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาคือ ปารีส ประเทศฝรั่งเศส บิดาของเขาเป็นเจ้าหน้าที่ในสังกัดของนโปเลียน โบนาปาร์ต ในตอนปลายของชีวิต เดอลาครัวซ์ทรมานกับโรคกล่องเสียงอักเสบซ้ำๆ ซึ่งทำให้กลายเป็นโรคเรื้อรัง ต่อมาจึงได้ไปพักฟื้นที่ชองป์โฮเซย์แต่ต่อมาสุขภาพของเขาก็แย่ลงเรื่อยๆและเสียชีวิตในที่สุด โดยมีแม่บ้านที่เขาไว้ใจเชื่อว่า เจนนี่ เลอ กิลลู (Jenny Le Guillou) อยู่ข้างๆเตียงของเขาในวาระสุดท้ายของชีวิต

เดอลาครัวซ์เป็นบุคคลที่สร้างสรรค์ผลงานในแนวศิลปะแบบโรแมนติกนิยม(Romanticism) เน้นการแสดงออกในลัทธิปัจเจกนิยม มักไม่คำนึกถึงเหตุผล จิตนาการ ความรู้สึกโดยมีอารมณ์อยู่เหนือเหตุผล มีการแสดงออกที่อิสระมากกว่าศิลปะสมัยก่อน มีการใช้สีที่รุนแรงรวมทั้งการทิ้งรอยฝีแปรงทำให้ภาพเกิดความเคลื่อนไหวและมีผลให้เกิดความสั่นสะเทือนในการมองภาพ มักแสดงออกถึงเรื่องราวในความเป็นอยู่ของสังคม เหตุการณ์ที่เกิดในสังคมในขณะนั้น เน้นการสะเทือนอารมณ์ที่รุนแรง ผลงานที่โด่งดังของเดอลาครัวซ์ก็ได้แก่ผลงานจิตรกรรมที่ชื่อว่า “เสรีภาพนำประชาชน” 
การระบายสีภาพ “เสรีภาพนำประชาชน” ของเดอลาครัวซ์นั้นจะมีลักษณะทิ้งรอยของฝีแปรง (Painterly Style)  มักใช้โทนสีที่มีลักษณะสีที่เข้มขรึมโดยใช้สีน้ำตาล สีดำและใช้สีขาวกระจายทั่วภาพอย่างอิสระ การจัดภาพนั้นมีการวางตำแหน่งศพในกองบิดเบี้ยวอยู่เบื้องหน้า เด็กวิ่งนำหน้าโดยยกมือชูธงขึ้นสูง สีของธงมีความหนักเบาตลอดภาพแต่ยังคงใช้สีเดิมๆ สีท้องฟ้านั้นใช้สีแดงสลับกับสีน้ำเงินเข้ม นอกจากนี้แล้วยังใช้สีน้ำเงินยังใช้เป็นสีของถุงเท้าของคนตายด้านซ้ายมือและเป็นสีเสื้อของเด็กที่วิ่งชูธงอีกด้วย

ด้วยความที่เดอลาครัวซ์อยู่ในสภาพสังคมที่มีแต่การเปลี่ยนแปลง ความรุนแรง เกิดการปฏิวัติ สงครามกลางเมือง ทำให้มีความสนใจเกี่ยวกับความเป็นไปทางสังคมละการเมือง แต่เขาเองหาทำสิ่งอื่นใดได้ไม่ นอกเสียจากจะสื่อออกมาทางผลงานของเขาโดยใช้อารมณ์ความรู้สึกที่มี สร้างสรรค์ผลงานชิ้นเยี่ยมขึ้นมาเท่านั้น



     ออกุสต์ โรแดง (Auguste Rodin) มีชื่อเต็มว่า ฟรองซัว โอกุสต์ เรอเน โรแด็ง (François-Auguste-René Rodin) (12 พฤศจิกายน ค.ศ. 1840 - 17 พฤศจิกายน ค.ศ. 1917) เป็นประติมากรชาวฝรั่งเศส โรแดงเริ่มศึกษาประติมากรรมที่ปารีส มีชื่อเสียงจากการสร้างรูปปั้นจำลอง 
งานชิ้นหลัง ๆ ของเขาได้รับแรงบันดาลใจจากดังเตกวีคนสำคัญ โดยผลงานชิ้นสำคัญได้แก่
 “ประตูนรก” (The Gates of Hell) ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากฉากในกวีนิพนธ์ “ไฟนรก” (Inferno) 
ของดังเต และรูปปั้น “ครุ่นคิด” (The Thinker) ที่นำเสนอภาพของดังเตเมื่อยามครุ่นคิด แม้ว่าโรแดงจะถือกันว่าเป็นผู้ที่มีส่วนริเริ่มการประติมากรรมสมัยใหม่ แต่ความจริงแล้วโรแดงมิได้มีความตั้งใจจะปฏิรูปศิลปะแบบที่ทำกันมา โรแดงได้รับการศึกษาจากสถาบันวิจิตรศิลป์แห่งฝรั่งเศส (Académie des beaux-arts) การสร้างงานก็เป็นไปตามวิธีช่างอย่างที่เรียนมาเพื่อที่จะได้เป็นที่ยอมรับกันทางสถาบันในการสร้างงานประติมากรรมโรแดงมีความสามารถที่ทำให้เห็นถึงความซับซ้อนและความปั่นป่วนภายในเนื้อดินที่ปั้น งานชิ้นสำคัญๆ ของโรแดงถูกนักวิจารณ์โจมตีโดยพร้อมเพรียงกัน เพราะลักษณะงาน
ขัดแย้งกับการทำประติมากรรมตามแบบแผนดั้งเดิมซึ่งเป็นการสร้างงานเพื่อการตกแต่ง เป็นสูตร และมีจุดมุ่งหมายในการสื่อใจความของภาพ แต่งานของโรแดงจะต่างออกไปจากการปั้นเรื่องเทพกรีกโรมันและการใช้สัญลักษณ์แฝงคติอย่างที่ทำกันมา งานของโรแดงจะเป็นรูปสรีระที่เหมือนจริงและเป็น
การเทิดทูนความงามของร่างกาย โรแดงมีความสะเทือนต่อคำวิพากษ์วิจารณ์แต่ก็ไม่ได้ทำให้เปลี่ยนวิธีสร้างงานของตนเอง และงานของโรแดงในที่สุดก็เป็นที่ยอมรับกันมากขึ้นจากรัฐบาลและสังคมศิลปิน